เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ ม.ค. ๒๕๕๑

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๕๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

พระพุทธศาสนานะ เราเป็นชาวพุทธ ถ้าเราเป็นชาวพุทธ เราเป็นคนมีอำนาจวาสนา เพราะว่าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะรื้อสัตว์ขนสัตว์องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าต้องรื้อตัวท่านเองก่อน ท่านมีจุดยืนก่อนนะ รื้อสัตว์ขนสัตว์ เห็นไหม ท่านรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อกิเลสในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

ในศาสนาพุทธนี้เท่านั้นนะที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์ ในลัทธิศาสนาอื่นศาสดาไม่ได้ปฏิญาณตนว่าเป็นพระอรหันต์นะ เป็นพระอรหันต์เพราะอะไร เพราะได้รื้อกิเลสออกก่อน เห็นไหม พอรื้อกิเลสออกก่อน วางธรรมวินัยไว้ให้เรามีทางเดินไง

ครูบาอาจารย์ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ปรารถนาดีกับลูกศิษย์ลูกหานะ อยากให้ลูกศิษย์ลูกหามีที่ยืนในสังคม ถ้ามีที่ยืนในสังคมนะ ที่ยืนในสังคมมีที่ไหนล่ะ เราไปมองกันแต่ตำแหน่งหน้าที่การงานจากภายนอก แต่เราไม่ได้มองจากตัวเราก่อนเลย เพราะมีเราใช่ไหม ตำแหน่งหน้าที่การงานถึงมีใช่ไหม เพราะมีเรา เราถึงมีหน้าที่การงานนั้น แต่เราไปมองตำแหน่งหน้าที่การงานนั้นแล้วก็ลืมมองตัวเราเองไง

ดูสิ เวลาเราเกษียณแล้วไปไหน เกษียณแล้วตำแหน่งหน้าที่การงานก็อยู่อย่างนั้นล่ะ เราเกษียณออกไปแล้ว เราเกษียณออกมาจากงานนั้นไป เรายังอยู่นะ ก่อนที่เราจะเข้าตำแหน่ง เรามาจากไหน มันต้องมีการศึกษาใช่ไหม เราต้องมีการศึกษา เราต้องมีความรู้ของเรา ความรู้นี่มาจากไหน?

ครูบาอาจารย์ เห็นไหม เปรียบเหมือนพ่อแม่ พ่อแม่อยากให้ลูกมีที่ยืนในสังคม พ่อแม่อยากให้ลูกรักษาตัวเองได้ นี่ก็เหมือนกัน ในการศึกษาเล่าเรียนของเรา เราต้องดูที่ตัวเราด้วย ถ้าตัวเรานะ เรามีสติสัมปชัญญะ เรามีความเพียรของเรา เรามีความมุมานะของเรา ความมุมานะนะ ความเพียรชอบ โดยทั่วๆ ไป เห็นไหม บอกศาสนาสอนให้ปล่อยวาง เราก็ปล่อยวางกันหมดแล้ว เราปล่อยวางแล้วไง ปล่อยวางในอะไร ปล่อยวางด้วยความขี้เกียจขี้คร้านไง มันจะปล่อยวางต่อเมื่อเราเข้าใจตามความเป็นจริงแล้วถึงปล่อยวางนะ

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกมรรค ๘ เห็นไหม ให้ทำความเพียรชอบ ความเพียรชอบความเพียรของใคร ความเพียรของเด็กๆ เด็กๆ เกิดมาเลี้ยงง่ายไม่งอแง พ่อแม่มีความสุขมากเลย ความเด็กของเขา เขานอนเล่น เขานอนสุขสบายของเขา พ่อแม่มีความสุข นี่ความเพียรของเด็กๆ เห็นไหม

แต่โตขึ้นมาต้องมีการศึกษา มีการศึกษาขึ้นมาแล้วเราจบมาแล้วต้องมีหน้าที่การงานทำ ความเพียรชอบแต่ละหน้าที่การงานต่างๆ กันไป เห็นไหม ความเพียรอย่างนี้มาจากไหน ถ้าจิตไม่มีจุดยืนนะ เราเป็นคนที่มีจุดยืนของเรา เราเป็นคนที่ขยันหมั่นเพียร เห็นไหม ความขยันหมั่นเพียรมันเป็นความวิริยะอุตสาหะ นี่ความเพียรชอบ

ถ้าความเพียรชอบทำไปแล้วมันทำด้วยความพอใจ ถ้าคนมีความพอใจทำสิ่งใดทำด้วยความอบอุ่นนะ แต่เราทำด้วยการโดนบังคับ ทำด้วยความไม่รู้จักหน้าที่ ถ้ารู้หน้าที่ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาจะรื้อสัตว์ขนสัตว์ ปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์นะ รื้อสัตว์ขนสัตว์ไปรื้อที่ไหน มันรื้อที่สัตว์ขนสัตว์

ดูสิ ทางรัฐบาลเขามีรัฐสวัสดิการ สวัสดิการเราก็มีความทุกข์นะ แต่รื้อสัตว์ขนสัตว์รื้อจากความสุข-ความทุกข์ในหัวใจ ถ้ารื้อจากความสุข-ความทุกข์ในหัวใจ เราเข้าใจหมด เห็นไหม จิตใจที่เราสูงส่ง เรามีความเมตตากรุณานะ เราจะช่วยเหลือเจือจานใครก็ได้ เรามีจิตใจเมตตาของเรา เราจะเจือจานเขา เห็นไหม มันเสียสละ ถ้าเสียสละ มันได้ความพอใจ

แต่ถ้ามันเป็นการตระหนี่ถี่เหนียวนะ มันต้องการแสวงหา มันต้องการเบียดเบียนกัน มันต้องการเอารัดเอาเปรียบ ความเอารัดเอาเปรียบ ถ้าเราจะเอารัดเอาเปรียบเท่ากับเราเอารัดเอาเปรียบตัวเราเองนะ เพราะถ้าตัวเราเอง เราทำสิ่งนั้น เราทำสิ่งที่เราไม่พอใจ คนอื่นก็ไม่พอใจเหมือนเราทั้งนั้นนะ แต่เรารู้ว่าเราไม่ชอบ แต่เราก็ทำออกไป

พอทำออกไป เห็นไหม นี่เพราะอะไร เพราะจิตใจมันต่ำต้อย ถ้าจิตใจมันสูงส่งนะ มันเสียสละได้ ความเสียสละอย่างนี้มาจากไหน มันมาจากอำนาจวาสนานะ อำนาจวาสนาคืออะไร คือมุมมองไง คือจุดยืน วุฒิภาวะ ถ้าวุฒิภาวะของเราดีขึ้นมา เราอยู่ในสังคม เห็นไหม เราเป็นที่พึ่งได้ ดูสิ ร่มโพธิ์ร่มไทร นกกาจะอาศัย

ถ้าเรามีจุดยืนของเรา เห็นไหม ในร้อยคนพันคนจะมีคนจริงซักหนึ่งคน ร้อยคนพันคนจะมีคนกล้าหาญ คนจริงจัง เห็นไหม เวลาเกิดวิกฤติขึ้นมาต้องการคนที่มีปัญญา คนที่ไม่ตื่นเต้นไปกับกระแสสังคม สิ่งนี้มันมาจากไหนถ้าไม่ฝึกนะ

ถ้ามันฝึกฝนมา ฝึกฝนในชาติปัจจุบันนี้นะ ถ้าเราฝึกฝนในชาติปัจจุบันนี้ ทางวิทยาศาสตร์เราคิดว่าเกิดมาก็แค่นี้ แล้วก็จะพัฒนากันไป แต่ถ้าทางธรรมนะ อภิชาตบุตร บุตรที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่ บุตรที่ดีกว่านะ เวลาเกิดมา บุตรที่ดีกว่าพ่อกว่าแม่ แล้วบุตรที่เกิดขึ้นมาแล้วเราจะไม่ได้ทำสมความปรารถนาของเราเลย เราทำสิ่งใดน่ะมันไม่สมความปรารถนา

นี่เห็นไหม สิ่งนี้เป็นกรรมเก่า-กรรมใหม่ กรรมเก่า เห็นไหม เขาว่าสังคมชาวพุทธเราเชื่อเรื่องของกรรม เรื่องของกรรมคือภาวะจำยอมไม่ทำสิ่งใด ดูสิ ผู้บริหารนะต้องมีพรหมวิหาร ๔ มีเมตตา มีกรุณา มีมุทิตา มีอุเบกขา ถึงที่สุดแล้วอุเบกขานะ เพราะเราช่วยเหลือเขาเต็มที่แล้ว เราช่วยเหลือเต็มที่ทั้งหมดเลยแล้วมันเป็นไปไม่ได้ไง

สิ่งที่เป็นไปไม่ได้เพราะมันเป็นสิ่งที่เข็นไม่ขึ้น แล้วเข็นไม่ขึ้นเพราะอะไรเล่า เพราะความเห็นของเขาเป็นอย่างนั้น มันจมปลักอยู่กับความรู้สึกของตัว เห็นไหม จมปลักกับความน้อยเนื้อต่ำใจของตัวเอง ใครบ้างเกิดมาจะไม่มีความทุกข์ ดูองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปีสิ แสวงหาอยู่ ๖ ปีนี่เป็นกษัตริย์นะ จะได้ครองราชย์อยู่แล้วเห็นไหม

สิ่งนี้ออกไปเที่ยวสวน ไปเห็นคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย เห็นไหม เป็นกษัตริย์ปกครองชาวบ้านเขา แต่ความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตายนี่ ไม่มีใครจะบริหารจัดการมันได้ ถ้าบริหารจัดการมันได้ ไปเที่ยวสวนเห็นยมทูตนะ มันมีความยอกใจเข้ามาเลย เราก็ต้องเป็นอย่างนี้เหรอ ถ้าเราเป็นอย่างนี้ เราจะมีฝ่ายตรงข้ามไหม?

ดูสิ เราศึกษาหน้าที่การงานกัน เราทำมาเพื่อแสวงหาเพื่อดำรงชีวิตกัน เลี้ยงร่างกายนะ เลี้ยงธาตุ ๔ แล้วขันธ์ ๕ คือความคิด ขันธ์ ๕ เราควบคุมมันไม่ได้ ศาสนาสอนตรงนี้ไง ศาสนาสอนถึงความควบคุมความรู้สึกของเราไง

ถ้าควบคุมความรู้สึกของเรา ถ้าจิตของเรามันสงบเข้ามา สงบเข้ามาก่อนนะ มือเราสกปรกไปหยิบสิ่งใดมันก็สกปรกไปหมด จิตนี่มันเป็นสารพิษ เห็นไหม หยิบอาหารเป็นพิษไปหมดเลย ถ้ามือเราสะอาด หยิบอาหารทุกอย่างมันเป็นประโยชน์กับเราหมดเลย ความเป็นสะอาดของเราต้องทำให้จิตนี้สงบก่อน ถ้าจิตมันสงบเข้ามา สงบมาจากเพราะอะไร?

ถ้าจิตไม่สงบนะ จิตไม่เป็นตัวของมันเองนะ จิตคิดไปโดยอวิชชา คิดไปโดยสัญชาตญาณเหมือนสัตว์ตัวหนึ่งเลย สัตว์มันเป็นสัญชาตญาณของมัน มันทำตามสัญชาตญาณของมัน มันก็ทำดีของมันนะ สัตว์มันทำดีของมัน เห็นไหม แต่สัตว์มันทำคุณงามความดีของมันได้ แต่มันเข้าใจตัวมันเองไม่ได้ มันทำตามสัญชาตญาณ

มนุษย์เราถ้าไม่มีศีลธรรมนะ เปรียบเหมือนสัตว์ เกิดมาเพื่อดำรงชีวิตเท่านั้นเอง ดำรงเผ่าพันธุ์เท่านั้นเอง แต่มันมีอะไรมีคุณค่าดีกว่าสัตว์ ดีกว่าสัตว์เพราะมีศีล ๕ ไง ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ มนุษย์ว่าเป็นสัตว์ประเสริฐแต่โง่กว่าสัตว์ เพราะสัตว์มันดูสิ ดูนกกา ดูสัตว์ป่า มันมีอิสรภาพของมัน เห็นไหม มันไปกับมัน

แต่มนุษย์เราสร้างกติกาสังคมขึ้นมา แล้วก็ติดในกติกาสังคมนั้น แต่มันก็จำเป็นเพราะอะไร เพราะสัตว์มนุษย์ สัตว์มนุษย์นี่มีกิเลสน่าเกลียดมาก มันเอาแต่เอารัดเอาเปรียบคนอื่น เห็นไหม มันต้องมีกติกา กติกานี้เป็นวินัย แล้วธรรมล่ะ ธรรมคือความถูกต้องไง

เวลาสังคมนั้น เห็นไหม สภาคกรรม สังคมนั้นมีปัญหาต่อกัน ในเมื่อสังคมนั้นมีปัญหาต่อกัน เราอยู่ในสังคมนั้น เราไม่เห็นด้วย แต่สังคมเขามีอำนาจใช่ไหม เราค้านไว้ในใจ เห็นไหม ธรรมวินัยขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ ถ้าสังคมสงฆ์นั้นเป็นอลัชชี ทำสิ่งที่ไม่ถูกไม่ต้อง แต่เราลงอุโบสถสังฆกรรมในสังคมนั้น เห็นไหม สภาคกรรมคือกรรมร่วมกัน ถ้าเป็นนานาสังวาสลงอุโบสถสังฆกรรมเป็นโมฆะ เป็นโมฆียะ เห็นไหม เป็นโมฆะ-โมฆียะคือมันไม่มีผล ทำแล้วไม่มีผล

เราก็เหมือนกัน ถ้าไปเห็นสังคมนั้นดำเนินไม่ถูกต้อง เราค้านไว้ในหัวใจของเราไง สิ่งที่กระทำอย่างนี้เราไม่เห็นด้วย เราไม่รับผิดชอบด้วย กรรมไม่มีกับเรา เห็นไหม เราไม่ยอมรับการกระทำอันนี้ด้วย แต่ในเมื่อเราอยู่ในสภาวะสังคมอย่างนี้ เราหลีกเลี่ยงไม่ได้เพราะเขามีอำนาจ เราค้านไว้ในหัวใจ เราไม่ยอมรับในหัวใจนั้น นี่ธรรมและวินัย ถ้าเราไปอยู่ในสังคมอย่างนั้น นี่สภาคกรรม นี่วัฏฏะ

คนเกิดมาไม่มีความปรารถนาที่จะทำให้ความถูกใจของเราได้ มันเป็นไปไม่ได้ มันเกิดเป็นสภาวะกรรม ผลของวัฏฏะ ดูสิ ดูเวลาน้ำท่วม เห็นไหม เวลาต่างๆ ขึ้นมา สิ่งที่มันพัดพาไปกับกระแสน้ำมันคืออะไร มันพัดพาไปนะ มันไปตามกระแสน้ำ

นี่ก็เหมือนกัน วัฏวนก็เป็นอย่างนี้ มันพัดพาจิตนี้ให้เกิดให้ตาย แล้วเกิด-ตาย เราเกิดมาประสบพบกันแล้ว มันเป็นผลของวัฏฏะไง ผลของวัฏฏะ ทำบุญต่างๆ กันมาร่วมๆ กันมาแล้วมาเจอกัน มาประสบกัน สิ่งที่เราไม่พอใจก็มี สิ่งที่เราพอใจก็มี สิ่งนี้เราเลือกไม่ได้เลย เหรียญมี ๒ ด้านตลอดไป สังคมมีคนดีและคนชั่วปนกัน

ในความรู้สึกเราก็มีเหมือนกัน เดี๋ยวคิดดีเดี๋ยวคิดชั่ว เห็นไหม อเสวนา จ พาลานํ ปณฺฑิตานญฺจ เสวนา อเสไม่คบคนพาล คนพาลทำบ่อยครั้งเข้า ทำให้ติดนิสัยเราไปกับเขา คบบัณฑิต เห็นไหม บัณฑิตพาในสิ่งที่ดีๆ เห็นไหม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกเลย

“ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด”

ประเสริฐเพราะอะไร ประเสริฐเพราะได้ฝึกใจแล้วไง ประเสริฐเพราะได้ฝึกหัวใจแล้ว หัวใจที่ฝึกแล้วประเสริฐที่สุด เพราะมันไม่คิดสิ่งที่เป็นอกุศลออกมาจากหัวใจ เห็นไหม ในบรรดาสัตว์ ๒ เท้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าประเสริฐที่สุด แล้วเราก็เป็นสัตว์ ๒ เท้า เราก็มีความรู้เหมือนกัน เราก็ประพฤติปฏิบัติได้ ถ้าสิ่งที่เราประพฤติปฏิบัติได้ ถ้าเราแก้ไขหัวใจของเรา ศาสนาสอนที่นี่ สอนสิ่งที่สอนเข้ามาในหัวใจของเรา

ถ้าสอนเข้ามาในหัวใจของเรา ถ้าเราปรารถนานะ คนเราถ้าพูดถึงวัตถุนะ คนนะ ดูสิ เวลาคนเสียจริต เห็นไหม เขาสามารถยังจะเอาตัวไปไหนก็ได้เพราะอะไร เพราะเขาสามารถจะมีทางวิชาการจะเอาไปได้

แต่หัวใจนะ สอนขนาดไหนมันก็ไม่ฟังนะถ้าใจมันไม่เปิด ถ้าใจมันเปิดนะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศนาว่าการนะ ในสมัยพุทธกาล เหมือนหงายภาชนะที่คว่ำให้หงายขึ้นมา เพราะหงายขึ้นมามันได้รับน้ำฝน ได้รับสิ่งต่างๆ

หัวใจเราเหมือนกัน หัวใจถ้ามันปิด หัวใจมันทิฏฐิมานะไง ว่าเรารู้ไง ทุกคนจะว่าเรารู้เราเก่งทั้งหมด สัตว์มนุษย์เป็นอย่างนี้ทั้งหมดเลย เพราะเอาตัวเราเป็นที่ตั้งนะ กิเลสตัณหาเป็นที่ตั้งมันก็เหยียบย่ำเขาไปหมดเลย แต่ถ้ามันศึกษาธรรมขึ้นมาก่อน เปิดใจให้กว้างก่อน แล้วศึกษาสิ่งต่างๆ ก่อน ว่าประเพณีวัฒนธรรมของเราเป็นสิ่งที่ไม่ดีเลย มันครึ มันล้าสมัย

มันครึ มันล้าสมัย เราศึกษามันจริงจังหรือยัง มันครึมันล้าสมัยเพราะมันไปขัดกับความรู้สึกของเราต่างหากล่ะ มันครึมันล้าสมัยเพราะหัวใจเรามันไม่ยอมรับสิ่งนี้ ถ้าหัวใจยอมรับสิ่งนี้ มันเปิดกว้างขึ้นมานะ ถ้าหัวใจมันเปิดกว้าง เห็นไหม คนมันเปิดกว้าง มันยอมรับนานาทัศนะ แล้วมันตรึกมันใคร่ครวญ นี่ธรรมสากัจฉา เอตัมมังคะละมุตตะมัง เห็นไหมคบบัณฑิต

ถ้าคบบัณฑิตนะ บัณฑิตจากภายนอก สิ่งที่ภายนอก คบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพาไปหามีแต่ความสุข เห็นไหม แต่ความสุขเกิดจากอะไร ความสุขเกิดมาจากการกระทำ ความสุขเกิดมาจากการแลกเอานะ ความสุขไม่ลอยมาจากฟ้าหรอก ดูสิ นักกีฬา เขาซ้อมเขาได้เหงื่อมา แต่สิ่งที่เขาได้มาคือกำลังเขาแข็งแรง

นี่ก็เหมือนกัน การเสียสละของเรา การกระทำของเรา มันต้องลงทุนลงแรงไปก่อน ดูสิ ดูพระนะ เขาเข้าใจกันนะว่าพระบวชแล้วสบาย พระบวชแล้วเอาเปรียบสังคม ถ้าพระเป็นพระขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ นี่ต้องทะลุมันให้ได้

เวลาเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนา ๒๔ ชั่วโมงนะ เราทำงานกันวันหนึ่งเราก็ต้องพักแล้ว เวลานั่งสมาธิภาวนากัน จิตมันกำลังจะดิ่งลง จิตมันกำลังจะเป็นไป เราเดินจงกรมกันทั้งวันทั้งคืนนะ เนสัชชิกนั่งอิริยาบถเดียวตลอดรุ่ง อย่างนี้สบายไหม ไม่สบายเพราะอะไร เพราะเราต้องลงทุนเพื่อเราจะเอาชนะตัวเราเองไง

สิ่งที่ได้มาไม่มีอะไรลอยมาจากฟ้าหรอก พระที่ประพฤติปฏิบัติ พระที่เข้าใจความเห็นของจิต พระที่ควบคุมจิตของตัวเองได้ มันต้องมีความเพียรชอบ มันต้องมีความมุมานะ มันต้องมีความพยายามของเรา มันไม่ใช่ว่าลอยๆ เราลอยๆ กันนะ ศาสนาสอนให้ปล่อยวาง เราก็ปล่อยวางกัน ปล่อยวางแบบวัฏฏะไง ปล่อยวางแบบสวะ ปล่อยวางแบบให้มันลอยไปตามน้ำไง แต่ในการปล่อยวางของเรา เราควบคุมได้ เหมือนเรือมันมีหางเสือ มันควบคุมเรือมันเองได้

จิตก็เหมือนกัน ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะ มันจะควบคุมตัวมันเองได้ เห็นไหม ศาสนาสอนอย่างนี้ ถ้าศาสนาสอนอย่างนี้ นี่รื้อสัตว์ขนสัตว์ ถ้ารื้อสัตว์ขนสัตว์นะ รื้อเข้ามาในหัวใจ ถ้าหัวใจนี้เป็นหัวใจที่มีคุณธรรมแล้วนะ ฟังดูสิว่าความคิดของเขาออกมาจากหัวใจ ออกมาแต่สิ่งที่ดีๆ เขาจะไปทำสิ่งนั้นน่ะ มโนกรรม ต้องมีความคิดก่อน ไม่มีความคิดก่อนทำสิ่งใดไม่ได้เลย

การกระทำทั้งหมดเกิดมาจากหัวใจก่อน เห็นไหม แม้แต่พูด แม้แต่กระทำ แม้แต่คิด คิดก็มาจากพลังงานของจิต นี่ตัวคิด เพราะความคิดไม่ใช่จิต จิตไม่ใช่ความคิด มันคนละอันกัน ถ้าปฏิบัติไปจะเห็นหมดรู้หมดเลย มันจะรู้หมด มันจะถอดได้หมด เหมือนรถยนต์เราถอดได้ทุกชิ้นเลย แล้วเราประกอบได้หมดด้วย

นี่เหมือนกัน ถ้าจิตมันออกไปได้หมดเลย มันถอดไปแล้วนะ ในสิ่งกระบวนการของเครื่องยนต์ พอถอดไปแล้วมันเหลืออะไร ไม่มีอะไรเลยว่างเปล่าหมดเลย นี่ก็เหมือนกัน จิตถ้ามันถอดความคิด ถอดทุกอย่างออกไปแล้วมันจะมีอะไร มันไม่มีอะไรในหัวใจเลย แล้วไม่มีอะไรใครเป็นคนรู้ นี่มหัศจรรย์มาก นี่รื้อสัตว์ขนสัตว์นะ

เราจะรื้อสัตว์ของตัวเราเอง ตั้งแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าวางธรรมวินัยไว้ รื้อสัตว์ขนสัตว์ เมตตามาก เราเกิดเป็นชาวพุทธนะ เราเป็นเจ้าของศาสนา ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าฝากศาสนาไว้แล้วนะ

“มารเอยเมื่อใดภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกานะ ไม่สามารถกล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ เราจะไม่ยอมปรินิพพาน”

จนถึงที่สุดแล้วนะ

“ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา บัดนี้! บัดนี้! บัดนี้มีความเข้มแข็ง กล่าวแก้คำจาบจ้วงของลัทธิต่างๆ ได้ อีก ๓ เดือนข้างหน้าเราจะปรินิพพาน”

ฝากเราไว้กันนะ แล้วเราอะไร เรามันมดแดงเฝ้ามะม่วง ไม่รู้จักรสชาติ ไม่รู้จักอะไรเลย ไม่ได้ผลอะไรเลย แต่ถ้าเราได้ผลขึ้นมา เราจะมีความเข้มแข็งของเรา เราจะหวงแหนศาสนามาก เพราะศาสนามันยิ่งกว่าสมบัติทุกๆ อย่าง แก้วแหวนเงินทองต่างๆ ไม่มีคุณค่าเท่ากับคุณธรรมในหัวใจเลย

แล้วถ้าคุณธรรมในหัวใจทุกๆ คนเป็นคนดีทั้งหมด สังคมจะมีความสุขขนาดไหน ในวัดๆ หนึ่งนะ ถ้ามีพระอริยบุคคล มีพระอรหันต์ขึ้นมาแล้วมันจะไม่มีปัญหาต่างๆ ใดๆ เลย แต่นี่มันไม่มีไง มันมีแต่กระพี้ มันมีสิ่งนั้นไป มันถึงมีปัญหากันอยู่นี่ มันต้องศึกษาอย่างนี้ เราต้องไม่ว่าใครนะ เอาใจของเรา เราดูใจของเรา เราทำตัวของเรา แล้วจะเป็นประโยชน์กับเรา เอวัง